หากเราติดตามข่าวสารจากตะวันตกไปเมื่อเร็วๆ นี้ เราเห็นว่ามีข่าวการใส่ร้าย สป จีน โดยไม่มีมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่มาของโรคโควิด-19 ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่าจีนกลายเป็นประเทศที่ถูกกล่าวหาว่า “เชื้อโรครั่วจากห้องแล็บ” เรื่องนี้ ปีเตอร์ ดาชาติ สมาชิกหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญ ค้นหาแหล่งกำเนิดของเชื้อโรคโควิด-19 ของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ประธานสหพันธ์ฯ นิเวศวิทยาด้านสุขภาพ เป็นสถาบันวิจัยที่ไม่แสวงหาผลกำไรได้กล่าวว่า จีนตกเป็นเหยื่อของกลอุบายดังกล่าว และรายงานการวิจัยเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสำนักข่าวกรองของสหรัฐฯ คือ รายงาน “มีลักษณะทางการเมือง ไม่ใช่ลักษณะทางวิทยาศาสตร์”
ปีเตอร์ ดาชาติ (Peter Dasak) เป็นสมาชิกของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญของ องค์การอนามัยโลก (WHO) และ ล่าสุดเขาได้ไปเยือน สป จีน เพื่อค้นหาแหล่งที่มาของไวรัส โควิด-19 เขากล่าวว่า “ตนเห็นว่าปัญหาที่มาของโรคนี้ว่า หลายคนเข้าใจผิดต่อรัฐบาลจีนและประชาชน” ต่อคำพูดที่ว่าเชื้อไวรัส โควิด-19 มาจากห้องทดลอง ยังขาดหลักฐาน
เช่นเดียวกับนายโดมินิค เดอร์ไวยเออร์ ศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัย ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียในฐานะสมาชิกคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ เพื่อค้นหาแหล่งที่มาของการติดเชื้อ โควิด-19 ของ องค์การอนามัยโลก ยังได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า คำว่า “โรคโควิด-19 รั่วไหล” ออกจากห้องทดลอง” ยังขาดหลักฐานและการค้นหาที่มาของโรคเป็นปัญหาทางการเมืองที่แสวงหาผลประโยชน์จะไม่เป็นผลดีในการแก้ปัญหา ควรให้นักวิทยาศาสตร์วิจัยเพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป
สื่อตะวันตกโดยเฉพาะสื่อของสหรัฐ “แสดงความสงสัย” ต่อรายงานผลการค้นหาที่มาของโรคโควิด-19 ระหว่างจีนกับ องค์การอนามัยโลก ตามที่นาย โดมินิค เดอร์ไวยเออร์ ให้สัมภาษณ์ทางรายการวิทยุออกอากาศของออสเตรเลียว่า ตอนนี้ สำนักข่าวกรองของสหรัฐฯไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่มีผลประโยชน์ใดๆเลย เขากล่าวว่า: “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวว่าเขาได้รับรายงานที่ขัดแย้งกันจากหน่วยข่าวกรอง” “ผมเห็นว่าสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า มาถึงตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน ถ้าไม่เช่นนั้นทุกอย่างก็คงประกฎข้อเท็จจริงมาที่ชัดเจนนานแล้ว” สหรัฐควรได้รับการสำรวจจากองค์การอนามัยโลก เพราะตั้งแต่โรคโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก ท่าที่การโจมตีของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนไม่เคยหยุดนิ่ง และต้องการให้จีนรับผิดชอบต่อการระบาดของ โควิด-19 ในสหรัฐฯ ประเทศฝั่งตะวันตกซึ่งนำโดยสหรัฐฯ กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไวรัสกำลังรั่วจากห้องทดลองของอู่ฮั่น และได้เรียกร้องให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ส่งผู้เชี่ยวชาญไปยังประเทศจีน ในที่สุด ผู้เชี่ยวชาญชาวจีนได้อำนวยความสะดวกให้ องค์การอนามัยโลก (WHO) มาเยือนประเทศจีนและได้พิสูจน์ความจริงใจของจีนแล้ว
แต่เนื่องจากทำเนียบขาวไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ จึงสร้างเรื่องไม่เป็นความจริงให้กับจีนอีก ล่าสุด ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้สั่งให้หน่วยข่าวกรองสอบสวนต้นตอของไวรัสโควีด-19 และเรียกร้องให้ส่งรายงานภายใน 90 วัน นอกจากนี้ ท่านโจ ไบเดนยังกล่าวอีกว่า จะสืบต่อร่วมมือกับประเทศพันธมิตรเพื่อเรียกร้องให้จีนอนุญาตนานาชาติสำรวจอีกครั้ง
ฝ่ายจีนก็ปฏิเสธต่อการใส่ร้ายที่ไม่มีข้อเท็จจริงของสหรัฐ เพราะว่าการสำรวจที่มาของโรคโควิด-19 ในจีนได้สำเร็จแล้ว วัตถุประสงค์รัฐบาลของสหรัฐต้องการนำเอาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาเป็นปัญหาการเมืองนั้น นับวันยิ่งชัดเจน เรื่องนี้คล้ายกับเหตุการณ์ที่สหรัฐทำสงครามกับอิรักโดยถือการสำรวจ“ผงซักฟอกหนึ่งขวด” เป็นข้ออ้างเพื่อโจมตีอิรักในเวลานั้น จีนได้เชิญผู้เชี่ยวชาญของ องค์การอนามัยโลก ดำเนินการวิจัยเพื่อค้นหาต้นกำเนิดของโรค โควิด-19 ในประเทศจีน 2 ครั้ง และได้ข้อสรุปที่เชื่อถือได้ ข้อเท็จจริงและหลักการของนักวิทยาศาสตร์. องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนว่า คำว่า โรคโควิด-19 ที่รั่วจากห้องทดลองของอู่ฮั่นเป็นไปไม่ได้ น่าจะเกิดมาจากธรรมชาติ ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของจีน แต่สหรัฐฯก็ยังต้องการใส่ร้ายจีนอย่างที่เคยทำมา
ต่อข้อเสนอประธานาธิบดีโจ ไบเดนเรียกร้องให้จีนเข้าร่วมการสำรวจระดับนานาชาติ ขณะที่ใส่ร้ายจีนและทำให้จีนรู้สึกไม่พอใจ หมายความว่าสหรัฐฯ ได้ปฏิเสธข้อค้นพบของผู้เชี่ยวชาญของ องค์การอนามัยโลก (WHO) และทำให้ผู้เชี่ยวชาญ WHO ที่เข้าร่วมการสำรวจแหล่งต้นกำเนิดของโรค โควิด-19 ที่ นครอู่ฮั่นไม่พอใจ นาง มาริน กุปมัน นักพยาธิวิทยาชาวดัตช์ทนไม่ไหว เธอจึงบอกกับ ท่านโจ ไบเดน “ถ้าหากไม่มีหลักฐาน โปรดหุบปาก” อันที่จริง สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่น่าสงสัยที่สุดในปี 2019. นาย โรเปอร์ เรดฟิลด์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า: จากการเสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ในเดือนกันยายน 2019 ที่จริงแล้ว มีบางคนเสียชีวิตจากโรค โควิด-19 จนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังไม่ได้เปิดเผยผลเกี่ยวกับ ผู้ติดเชื้อ โควิด-19 กรณีแรกที่พบเมื่อไร ส่วนห้องปฏิบัติการทางชีววิทยาอตั้งยู่ทั่วโลกของสหรัฐ ก็ได้มรับข้อสงสัยอย่างมาก และสหรัฐฯเองก็สมควรที่จะได้รับการตรวจสอบจากนานาชาติ ท่านศาสดาจารย์ กุปมัน เธอยังกล่าวว่า งานการสำรวจหาแหล่งที่มาของของเชื้อ โควิด-19 ในระยะต่อไป นอกจากจีนสำรวจพบ เชื้อโควิด-19 ก่อนประเทศอื่นๆ ก็ควรให้ องค์การอนามัยโลก (WHO) เข้าไปสำรวจ. พวกเราหวังว่า ถ้าผู้เชี่ยวชาญของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ไปสำรวจแหล่งที่มาของไวรัส โควิด-19 ในสหรัฐ. สหรัฐฯ ก็ควรทำแบบเดียวกับจีน อำนวยความสะดวกให้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ไปสำรวจ ไม่ใช่ทำเหมือนปัจจุบันนี้ คือ ใส่ร้ายประเทศอื่นและ เอาดีแต่ตนเอง.
ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ มีแหล่งข่าวเปิดเผยว่า: สหรัฐฯ ติดต่อกับ “กองทัพที่ 731” ของกองทัพญี่ปุ่นที่รุกรานประเทศจีน เพื่อรวบรวมข้อมูลการวิจัยอาวุธชีวภาพ ตามแหล่งข่าวแจ้งให้ชาบว่า ตามรายงานหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายในเวลาไม่กี่ปี สหรัฐอเมริกาได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามจุลชีววิทยาจากฐานทดลองชีวภาพ ดิทริค (Detrick Biological Laboratory) ไปยังประเทศญี่ปุ่น เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสงครามจุลินทรีย์ในญี่ปุ่นซึ่งเป็นสมาชิกคนสำคัญของกองทัพที่ 731 เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสงครามจุลินทรีย์จากกองทัพที่ 731 สหรัฐฯ จ่ายเงิน 250,000 เยนญี่ปุ่น ต่อมา ฐานดิทริค (Detrick) ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วบนพื้นฐานนี้และกลายเป็นฐานการวิจัยและการผลิตอาวุธชีวภาพของสหรัฐ นอกจากนี้ สื่อสหรัฐฯ ยังกล่าวอีกว่าห้องทดลองทางชีววิทยาของ ดิทริค (Detrick) ได้เก็บไวรัสไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยคุกคามร้ายแรงต่อความปลอดภัยของมนุษย์ และมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูงมาก
จากการวิเคราะห์ปัญหาที่มาของไวรัสโควิด-19 ยืนยันได้ว่า จีนจริงใจและมุ่งมั่นที่จะค้นหาเชื้อไวรัสและได้ให้ความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับองค์การอนามัยโลก (WHO) แต่พวกที่มีอคติ เขาก็มีอคติยู่เสมอมา
สำหรับผู้เขียน ก็คือคนที่รักความยุติธรรมและเคารพการตัดสินใจขององค์กรระหว่างประเทศ คือ องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เข้าไปสำรวจตัวจริงที่อูฮั่นและยืนยันว่า: เชื้อโรค โควิด-19 รั่วไหลออกจากห้องทดลองของอูฮั่นนั้นเป็นไปไม่ได้ และไม่มีหลักฐานที่ถูกต้อง
ในสภาพโลกมีโรคภัย โควิด-19 รุกราน แทนที่จะสามัคคีสู้โรคนี้ให้จบสิ้นโดยเร็ว แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ นอกจากจะไม่ได้ช่วยเหลือประเทศอื่นแล้ว ยังใส่ร้ายประเทศอื่น ตรงกันข้ามกับ สป จีน นอกจากจะต่อสู้กับเชื้อโรคในประเทศของตนเองแล้วยังมีพันธกรณีระหว่างประเทศยังช่วยเหลือผู้อื่น ตามแหล่งข่าวเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์กล่าวว่าภายใต้สถานการณ์ที่ร้ายแรงและเร่งด่วนที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประสานงานกับองค์การร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจีน และส่วนอื่น ๆ ของจีน ได้ให้การช่วยวัคซีน โควิด-19 ถึง 88 ประเทศและ 4 องค์การนานาชาติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า 350 ล้านโดส นี้คือวัคซีน โควิด-19 ที่ช่วยเหลือให้กับประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการรับประกันวัคซีนสำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งเพิ่มความสามารถในการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของโรคและสร้างเงื่อนไขสำหรับการฟื้นฟูการจ้างงานและการผลิตอยู่ในประเทศเหล่านี้ได้เร็วขึ้น
โดย: ลูกข้าวเหนียว